top of page
Search
Writer's pictureMotiveTalent

4 งานด้าน HR ที่จะถูกเทคโนโลยีเข้ามา "disrupt"

Updated: Jul 1, 2019



ทุกคนคงทราบกันดีว่า เทคโนโลยีได้เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ


ปี 1900 มนุษย์สามารถผลิต วิทยุได้เป็นครั้งแรก ปี 1950 มนุษย์ใช้เวลากว่า 50 ปีในการผลิต เครื่องพิมพ์ดีดได้ ปี 1990 มนุษย์ใช้เวลาอีก 40 ปี ในการคิดค้นสิ่งที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ต ปี 2000 เป็นต้นมา เพียงเวลาไม่ถึง 10 ปี ก็เกิดเทคโนโลยีต่างๆมากมาย ทั้ง Google Facebook YouTube Smartphone ฯลฯ จนกระทั้งในปี 2018 เกิดสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า Big data ที่ช่วยในการตีความข้อมูลที่มีอยู่นับไม่ถ้วนและนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ผ่านเทคโนโลยีในปัจจุบัน


แล้วทุกคนสงสัยไหมครับว่า Disruption นั้นกระทบกับงานด้าน HR ยังไง จากที่เราได้มีโอกาสไปเข้าร่วมงาน Thailand HR Tech ที่จัดขึ้นในวันที่ 28-29 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทางเราได้รวบรวมเนื้อหาจากหลายๆ เวทีที่พูดถึงเรื่อง HR Disruption มาเล่าให้ฟังกัน


1. Recruitment

ทุกองค์กรมี Recruiter ที่คอยทำหน้าที่ในการหาคนที่ใช่มาเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่คนที่ใช่ของเรานั้น หลายๆ ครั้งก็เป็นคนที่ใช่ของคู่แข่งด้วยเช่นกันแน่นอนว่าหากองค์กรใดมีการสร้าง Employer Branding ที่ดี คุณก็ย่อมจะได้เปรียบกว่าองค์กรอื่นๆ เพราะถ้าภาพลักษณ์บริษัทของเราดี ใครๆ ก็คงอยากมาเป็นส่วนหนึ่งกับเรา โจทย์ต่อไปของ Recruiterก็คงจะเป็นการต้องมานั่งจัดการคัดเลือกหรือ screening resume กองโตของผู้สมัครที่ถาโถมเข้ามา แล้วเทคโนโลยีแบบไหนจะสามารถเข้ามาช่วยเหลือ HR ตรงจุดนี้ได้บ้างมาดูกันครับ

  • Recruiter Chatbot ที่เข้ามาช่วยในการตอบกลับผู้สมัครในหลายๆ คำถามแบบอัตโนมัติ ตลอด 24 ชม. และยังสามารถนำข้อมูลที่ผู้สมัครไปวิเคราะห์ต่อผ่าน Big Data และ Learning Machine อีกด้วย

  • AI Sourcing ที่เป็นระบบปฎิบัติการที่เข้ามาช่วยในการ Sourcing หรือ Screening Resume ของผู้สมัครเบื้องต้น ผ่าน Keywords และ Learning Machine ให้ได้ Resume ที่เป็นมาตรฐาน

  • AI Interviewing ที่เข้ามาช่วยในการสัมภาษณ์เบื้องต้น เพื่อวิเคราะห์บุคลิกภาพของผู้สมัคร และช่วยประหยัดเวลาของ HR และ Line Manager ได้อีกด้วย


2. Onboarding

ทุกวันนี้แค่การเตรียมอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ป้ายชื่อ บัตรพนักงาน ล็อกเกอร์ หรือการทำ Introduction ถือเป็นวิธีการ Onboarding แบบดั้งเดิมไปแล้วเพราะบางองค์กรได้นำเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) เข้ามาช่วยทำ Office Tour กับพนักงานใหม่ พาทัวร์บริษัทผ่านโทรศัพท์มือถือ และแว่น VR ได้โดยตรง เขาจะได้รู้ว่าแผนกที่เขาทำงานอยู่ชั่นไหนของตึก โต๊ะทำงาน ห้องอาหาร ห้องพักผ่อน รวมถึงบรรยากาศรอบๆ ออฟฟิต แบบ 3D ได้ ซึ่งเป็นการสร้าง First และ Second Impression ได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย ผู้อ่านลองนึกภาพตนเองกำลังไปเริ่มงานกับบริษัทเหล่านี้สิครับ มันคงเพิ่งความอยากในการทำงานของเรามากขึ้นหลายเท่าตัว เหมือนอย่างที่หลายๆ คนเคยพูดไว้ว่า


“ยิ่งบริษัทเตรียมพร้อมต้อนรับพนักงานมากเท่าไหร่ พนักงานก็จะอยู่กับเรานานมากเท่านั้น”


3. Training and Development

ในสมัยนี้หลายคนคงคิดว่าบริษัทไหนมี E-Learning หรือ Online Training ก็เจ๋งแล้ว แต่จริงๆ แล้วยังไม่พอ เพราะ Online Training ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งขาดประสิทธิภาพในตัวของมันเอง ไม่ตรงกับสิ่งที่พนักงานต้องการ เนื้อหาไม่อัพเดต จูงใจไม่มากพอ หรือพนักงานขาดความมีส่วนร่วมกับ Training นั้นๆ จนทำให้ HRD หลายคนหันกลับไปพึ่งพาการ Offline Training แทน จริงๆ การ Offline Training เป็นสิ่งที่ดีมากนะครับ เพราะมันมีการปฏิสัมพันธ์ (Participate) เกิดขึ้น และทำให้พนักงานเข้าใจถึงเนื้อหาที่มากกว่า Online Training แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งค่าใช้จ่าย เวลา และเนื้อหา จนทำให้ HRD หลายๆ คนในองค์กรปวดหัวกันไปตามๆ กัน แต่วันนี้ เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้ โดยการที่บริษัทนำเอา Online Training เข้ามาจับกับ Big Data ทำให้เกิด Learning Recommendation หรือเรียกง่ายๆ ว่า Matching นั้นเอง


อย่างเช่น หากพนักงานต้องการ Training เรื่องความเป็นผู้นำ (Leadership) สิ่งที่เขาต้องทำเพียงแค่ค้นหาผ่านแอพฯ ที่บริษัทสร้างขึ้นตัวแอพฯก็จะนำคอร์ส Training ต่างๆ ขึ้นมาให้เราเลือกมากมาย และหลังจากที่เราเลือกหัวข้อที่ตรงใจกับเราแล้ว ระบบจะมีการแนะนำตัว Training อันอื่นที่ใกล้เคียงกันกับตัวที่พนักงานเคยเลือก ขึ้นมาเป็น Suggestion ต่อไปเรื่อยๆ นั้นเอง (คล้ายๆ เราเลือกซื้อของบน Shopee หรือ Lazada นั้นแหละครับ เวลาเรากดสินค้าที่เราสนใจ พอเลื่อนมาด้านล่าง เรามันจะพบสินค้าที่คล้ายกัน)


4. Compensation and Benefit

หลายๆ คนคงคิดว่า ถ้าได้ทำงานในที่ที่มีสวัสดิการดีๆ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเยอะๆ OPD IPD เยอะๆ แค่นั้นก็พอแล้ว แต่เทคโนโลยีก็เข้ามามีบทบาทอีกนั้นแหละ เพราะเดี๋ยวนี้ คนเป็นตัวของตัวเองสูงขึ้น ถ้ามีบริษัทที่พนักงานสามารถเลือกรูปแบบการรักษาพยาบาลได้เองตาม Lifestyle ของตนเอง มันคงจะล้ำมากๆ เลยใช่ไหมครับ


ทุกคนลองคิดภาพตามนะครับ...


บริษัท A ไปดีลกับประกันเสียค่าหัวต่อพนักงานต่อปี สมมติได้ราคาดีลที่หัวละ 40,000 บาท โดยพนักงานสามารถเข้า OPD 2,000 บาทได้ 20 ครั้ง ถ้าผู้อ่านได้ทำงานที่บริษัทแห่งนี้ก็คงรู้สึกว่า บริษัทนี้ทุ่มให้กับพนักงานเหมือนกันเนอะ ให้ตั้ง 2,000 เลย


บริษัท B จ่ายค่าเบี้ยประกันต่อหัว 42,000 บาท แต่พนักงานสามารถเลือกความคุ้มครองผ่านแอพฯประกันได้ว่า ตาม Lifestyle ของตนเองได้ว่าจะนำไปลงในส่วนไหนบ้าง เช่น ถ้าคนที่ปกติสุขภาพแข็งแรง ไม่เคยต้องไปนอนโรงพยาบาลเลย อาจจะเลือก OPD เยอะขึ้นไปอีก ลด IPD ลงมาหน่อย หรือสามารถนำเงินบางส่วนไปเป็นส่วนลดในการสมัครคอร์ส Fitness ได้ หรือแม้แต่จะนำไปเป็นค่าปรึกษากับนักจิตวิทยาในการบริหารความเครียดของตนเอง บริษัทบี นี้น่าสนใจสุดๆ ไปเลย


เห็นไหมครับว่า การ Disrupt นั้นเข้ามามีบทบาทกับทาง HR อย่างมหาศาล และนอกเหนือจากแง่มุมที่พูดในบทความนี้ หากผู้อ่านเห็นว่ายังมีแง่มุมอื่นๆ ที่ HR ถูก Disrupt เหมือนกันแล้วล่ะก็ สามารถเข้ามาแชร์กันได้เลยนะครับ เพราะผมเชื่อว่าเทคโนโลยีสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน


นอกจากนั้นยังถือเป็นการสร้าง employee experience ที่แปลกใหม่ โดยการสร้างประสบการณ์ทางดิจิทัลสุดล้ำให้กับ candidate หรือพนักงานของเราตั้งแต่ในกระบวนการแรก คือ Recruitment > Onboarding > Trainingand Development รวมไปถึง Compensation and Benefit ด้วยเช่นกันแต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ไม่ได้พูดว่า เทคโนโลยีนั้นจะเข้ามาทดแทนทุกอย่างในการทำงาน อย่าเพิ่งกลัวไป เพราะยังมีหลายอย่างที่เทคโนโลยีไม่สามารถเข้ามาแทนคนได้ โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยการใช้ Human touch หรือ Interaction ระหว่างคนด้วยกัน


 

เรียบเรียงโดย

Udomsub Denpetkul

360 views0 comments

Comments


bottom of page